วงเงินตรากู้ของธนาคารนั้นที่แต่ละคนจะได้รับขึ้นอยู่กับวัตถุ อะไรบ้าง
1. ตำแหน่งเงินเดือนและภาระหนี้สิน ค่าโดยเกือบจักได้ 50 เท่าของเงินเดือน เช่น ถ้าเงินเดือน 20,000 พร้อมด้วยไม่มีภาระหนี้สินใดๆ วงเงินกู้ที่ได้่จักคร่าวๆ 1,000,000 (20,000 x 50 เท่า) แต่ถ้าคุณมีผ่อนอะไรอยู่ก็จะหักจากเงินเดือนก่อนแล้วค่อยคูณด้วย 50
บางคนที่มีเงินโอทีหรือไม่เงินเงินได้พิเศษนอกเหนือไปจากเงินเดือนประจำ บางธนาคารก็ไม่เอามาคิด บางแบงค์ก็เอามาคิดแค่ 50% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกฎพร้อมทั้งนโยบายของแต่ละธนาคาร ซึ่งคนกู้จะต้องเช็คกับทางแบงค์อีกที
ปริมาณวงเงินกู้ อาจได้มากไม่ใช่หรือน้อยกว่า 50 เท่า ขึ้นอยู่กับเครดิตของผู้กู้ ความมั่นคงของภาระหน้าที่การงาน กับเรื่องราวการชำระหนี้อื่นๆ ก่อนหน้านี้ ส่วนผู้กู้ที่ทำงานบริษัทที่มีสวัสดิการกู้ซื้อบ้านกับทางธนาคาร ธนาคารมัก อนุญาตกู้ง่ายด้วยกันให้ผลรวมวงเงินมากกว่าปกติ
2. มูลค่าประเมินบ้านไม่ใช่หรือคอนโดมิเนียมของทางธนาคาร สนนราคาประเมินที่กล่าวถึง ทางธนาคารจักส่งเจ้าหน้าที่ไปสำรวจบ้านที่เราจักซื้อด้วยกันประเมินมูลค่า พวกบ้านไม่ใช่หรือคอนโดใหม่ บางแบงก์ให้กู้เต็มสนนราคาประเมิน ส่วนพวกข่าวสารขายบ้าน / คอนโดมือสอง บางแบงก์ก็ให้กู้เต็ม แต่ส่วนมากมักให้แค่ 80% ของราคาประเมินธนาคาร อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นของแต่ละแบงค์ที่มีอยู่ ทั้งนี้ถ้าได้สนนราคาประเมินบ้านสูงกว่าฐานของเงินเดือนตามข้อที่ 1 คุณก็กู้ได้สูงสุดตามข้อ 1 ด้วยกันถ้าค่าประเมินบ้านต่ำกว่าวงเงินตามฐานค่าจ้างรายเดือนในข้อที่ 1 คุณก็กู้ได้สูงสุดตามราคาประเมินบ้าน
3. อายุของผู้กู้ แบงค์ส่วนมากให้ผู้กู้เป็นได้ชำระหนี้ได้จนถึงอายุ 60 บางธนาคารอาจถึง 65 ดังนั้นถ้าคุณอายุเพียบ จำนวนปีในการปรับปรุงหนี้จะน้อย ซึ่งก็หมายความว่าค่าผันผ่อนชำระหนี้ในแต่ละเดือนนั้นจักสูง เช่น อายุ 55 ขอกู้เงิน 3,000,000 ซึ่งคุณจะสามารถผ่อนได้แค่ห้าปี ดังนั้นตัวเลขเงินผ่อนแต่ละเดือนจะสูงมาก ซึ่งโดยทั่วไปแล้วธนาคารจะให้ผ่อนได้ไม่เกินประมาณการ 40% ของเงินเดือน ถ้าสมมุติเกิน ธนาคารก็จะลดวงเงินกู้คุณลง
ผู้กู้เก่งกู้เพิ่มเป็นค่าเสริมแต่งได้อีกประมาณการ 10% ของวงเงินกู้บ้านที่ทางธนาคารอนุมัติให้ เช่นถ้าแบงค์อนุมัติวงเงินดึงซื้อบ้านให้คุณที่หนึ่งล้านบาท คุณรอบรู้กู้เพื่อตกแต่งเพิ่มได้อีกจำนวนหนึ่งแสนบาท แต่อัตราดอกเบี้ยสำหรับเงินกู้ตกแต่งจักสูงกว่าเงินกู้ซื้อบ้าน
ศีลดังกล่าวนั้นไม่ได้ตายตัว ธนาคารแต่ละแห่งก็จะมีข้อชี้ขาดที่แตกต่างกัน ที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงแนวทางคร่าวๆ ทั้งนี้ผู้กู้ชอบติดต่อถามเจ้าหน้าที่สินเชื่อของแต่ละธนาคารจักดีที่สุด หรือว่าติดต่อไปตามที่ Call Center ที่มีบริการในแต่ละธนาคารก่อนก็ได้ ทางเจ้าหน้าที่เป็นได้ให้ข้อมูลคร่าวๆ ได้เช่นกันค่ะ
ข้อเสนอแนะ:
1. คนที่ใคร่ได้มีบ้านเหรอคอนโด แต่ไม่รู้จะตั้งต้นยังไง ขอให้เริ่มจากการตีราคาวงเงินกู้ของตนเองก่อนว่าธนาคารจะ เปลื้องกู้ให้คุณได้เท่าไหร่ คุณสามารถติดต่อเจ้าพนักงานสินเชื่อแต่ละธนาคาร (แนะนำให้โทรศัพท์กับธนาคารที่่คุณมีบัญชีเงินเดือนหรือไม่ธนาคารที่บริษัทคุณมีสวัสดิการก่อน เพราะธนาคารพวกนี้จักสามารถเช็คข่าวคราวของคุณได้ง่ายจากบัญชีของคุณ และความเป็นไปได้ในการได้รับอนุมัติก็จะมีมากกว่าธนาคารที่คุณไม่เคยเป็นลูกค้ามาก่อนเลย) เราเชี่ยวชาญเช็คหลายๆธนาคารได้พร้อมกัน เป็นแค่ขั้นตอนของ การขอประกาศจากธนาคาร ไม่ได้ทำเรื่องกู้
2. หลังจากรับรู้วงเงินที่คุณเชี่ยวชาญกู้ได้ ก็ค่อยไปมองหาดูบ้านหรือไม่ก็คอนโดที่อยู่ในงบของคุณ จักได้ไม่ต้องเสียเวลาไปดูบ้านไม่ก็คอนโดที่มันแพงๆ แล้วมารู้ที่หลังว่าคุณกู้ไม่ข้ามเพราะว่าบ้านแพงไป
3. อย่าซื้อบ้านเหรอคอนโดเกินกำลังกับฐานะของตนเองมากเกินไป เพราะถ้าคุณกู้สูงๆ แล้วค่าผ่อนต่อเดือนมันก็จะเป็นกองมาก อย่าลืมนึกถึงค่าตกแต่งที่จักตามมาอีกมากมาย รวมถึงเผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉินที่เราต้องใช้เงิน เช่น เจ็บป่วยหรือไม่อุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันที่ต้องการใช้เงิน ถ้าใคร่ผ่อนแบบไม่หนักมาก ควรผ่อนแค่ราวๆ 30% ของเงินเดือน
4. ให้เระบือกระยะปีในการผ่อนให้นานที่สุด ถ้าสมรรถเฟุ้งเฟื่องกแบบ 30 ปี ก็เร่ำลือกแบบ 30 ปีไปก่อน เวลามีเงินคุณก็ค่อยเอาไปโปะเรื่อยๆ ก็เพราะว่าการเระบือกระยะเวลาผ่อนที่นาน จะทำให้ค่าผ่อนที่ต้องจ่ายต่อเดือนไม่มาก เช่นถ้าคุณกู้ 1,000,000 บาท เระบือกผ่อน 30 ปี คุณต้องจำหน่ายต่อเดือนคาดคะเน 6,000 บาท แต่ถ้าคุณเละบือกผ่อนที่ 10 ปี คุณต้องจ่ายต่อเดือนคะเน 11,000 บาท คุณเเลื่องลือกแบบ 30 ปี แล้วค่อยๆ เอาเงินไปโปะเรื่อยๆ ให้หมดภายในสิบปี ดอกเบี้ยที่เสีย ก็ไม่ต่างกันมากค่ะ อันนี้จักช่วยคุณได้ในกรณีฉุกเฉินที่คุณต้องใช้เงิน และทำให้คุณนั้น ไม่เครีดมากในการจัดการค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน
ค่าธรรมเนียมการโอน:
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ( หัก ณ ที่จ่าย ) = ตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร
2. ค่าธรรมเนียมการทำนิติกรรม ( ค่าโอน ) = 2 % จากสนนราคาประเมินของกรมหรือว่ามูลค่าขาย แล้วแต่อย่างใดสูงกว่า
3. ค่าจดจำนอง ( กรณีจำนองกับสถาบันการเงิน ) = 1% ของมูลค่าที่จำนอง (จำนวนที่กู้ทั้งหมด)
4. ค่าอากรแสตมป์ (ชำระอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่าง อากรแสตมป์ ใช่ไหมธุรกิจเฉพาะ) = 0.50% ตามราคาซื้อขายแต่ ไม่ต่ำกว่ามูลค่าประเมินของกรม
5. ภาษีธุรกิจเฉพาะ ( ไม่ต้องชำระถ้าถือครองเกิน 5 ปี ไม่ใช่หรือมีชื่อในทะเบียนบ้านเกินหนึ่งปี) = 3.3% ของค่าซื้อขายที่ไม่ต่ำกว่าราคาประเมินของกรม
ค่าธรรมเนียมการโอนอาจออกคนละครึ่งระหว่างผู้ซื้อพร้อมกับผู้ขาย ไม่ใช่หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกทั้งหมด อันนี้ขึ้นอยู่กับการตกลงกันแต่แรก ดังนั้นควรตกลงเรื่องค่าธรรมเนียมการโอนต่างๆ ก่อนทำข้อผูกพันจะซื้อจักขาย ก็เพราะว่าอาจมีการโต้เถึยงเกิดขึ้นได้ในวันโอน ทางที่ดีควรรวมรายละเอียดค่าธรรมเนียมการโอนไว้ในคำสัญญาจะซื้อจะขายด้วยเพื่อป้องกันการโต้เถียงกันภายหลังโ
ข้อมูลจาก (cordia.bloggang)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น